วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

โวหารภาพพจน์พาเพลิน


โวหารภาพพจน์พาเพลิน




 ความหมายของโวหาร
       
           การเขียนเรื่องราวอาจใช้โวหารต่าง ๆ กันแล้วแต่ชนิดของข้อความ   โวหารอาจจำแนก ตามลักษณะของข้อความหรือเนื้อหาเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ดังนี้

ประเภทของโวหาร

1. บรรยายโวหาร
      
      คือ โวหารที่ใช้บอกกล่าว เล่าเรื่อง อธิบาย หรือบรรยายเรื่องราว เหตุการณ์ ตลอดจนความรู้ต่าง ๆ อย่างละเอียด เป็นการกล่างถึงเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน  โดยชี้ให้เห็นถึงสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์   สาเหตุที่ก่อให้เกิด เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม บุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่เกิดจากเหตุการณ์นั้น   เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหา สาระอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เนื้อหา ที่บรรยายอาจเป็นเรื่องที่สมมุติหรือเรื่องจริงก็ได้  เรื่องที่ใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขียนตำรา  รายงาน  บทความ   เรื่องเล่า จดหมาย บันทึก  ชีวประวัติ    ตำนาน เหตุการณ์ บรรยายภาพ  บรรยายธรรมชาติ  บรรยายบุคลิกลักษณะบุคคล สถานที่ รายงานหรือจดหมายเหตุ  การรายงานข่าว  การอธิบายความหมายของคำ การอธิบายกระบวนการ การแนะนำ วิธีปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ  เป็นต้น

ตัวอย่างบรรยายโวหาร

ภูเขาไฟฟูจิเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นมาหลายศตวรรษแล้ว  แต่แรกภูเขานี้เป็นที่เคารพบูชา ของชนพื้นเมืองเผ่าไอนุซึ่งปัจจุบันยังอยู่ตามหมู่เกาะฮอกไกโด  ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ ที่อยู่เหนือสุดชาวไอนุขนานนาม ภูเขานี้ตามชื่อเทพธิดา  “ฟูชิ” ( fuchi)   ผู้เป็นเทพธิดาแห่งอัคคี  ชาวญี่ปุ่นยังคงนับถือภูเขาไฟฟูจิต่อมา  และเรียกชื่อตามที่พวกไอนุตั้งไว้   บรรดาผู้นับถือศาสนาชินโตเชื่อว่าในธรรมชาติทุกรูปแบบจะมีเทพ  หรือ  กามิ ( kami ) สถิตอยู่  แต่เทพที่สถิตในภูเขาจะศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ  ภูเขาฟูจิซึ่งสูงที่สุดและงามที่สุดในประเทศ จึงได้รับความเคารพเป็นพิเศษ  เพราะถือว่าเป็นสถานที่สถิตของทวยเทพ  เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างความ ลึกลับของสวรรค์  และความเป็นจริงของโลกมนุษย์ 
                  (เกศกานดา  จตุรงคโชค (บรรณาธิการ): โลกพิสดาร  แดนพิศวง)

2.อธิบายโวหาร
      
      คือ โวหารที่ทำให้ความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งกระจ่างชัดเจนขึ้น มักใช้ ในงานเขียนทางวิชาการ และตำรับตำราต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์จะนำประเด็นที่สงสัยมาอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง การเล่าเรื่องบางตอนถ้ามีประเด็นใดที่เป็นปัญหาก็อาจใช้อธิบายโวหารเสริมความตอนนั้นจนเรื่องกระจ่างชัดเจนขึ้น บางท่านจึงถือว่าอธิบายโวหารเป็นส่วนหนึ่งของบรรยายโวหาร อธิบายโวหารนี้มักใช้ในการอธิบายกระบวนการ การวิเคราะห์หรือจำแนกเนื้อหาออกเป็นประเภท หรือเป็นพวก และการอธิบายความหมายของคำ (จุไรรัตน์  ลักษณะศิริ และบาหยัน  อิ่มสำราญ บรรณาธิการ, 2548, หน้า 48)  การอธิบายมีหลายลักษณะ  เช่น  การอธิบายตามลำดับขั้น  การอธิบายด้วยการให้นิยาม   หรือคำจำกัดความ  การยกตัวอย่าง   การเปรียบเทียบ  การชี้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน และการใช้อุปกรณ์หรือภาษาประกอบ
                           
           สุภัค  มหาวรการ (2546, หน้า 11-14)   กล่าวถึง  หลักการเขียนอธิบายโวหารที่ดี  มีการชี้รายละเอียดของเรื่องได้ชัดเจนและครบถ้วน  มีการอ้างเหตุผลต่าง ๆ อย่างชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผลกันดี   มีการจัดลำดับขั้นตอนของเรื่องราวได้ดี  ไม่วกวน  และใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและถูกต้อง

ตัวอย่างอธิบายโวหาร


...ศิลปินหรือผู้สร้างศิลปะก็คือหน่วยหนึ่งของสังคม  ที่สำคัญได้แก่กลไกทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ  การต่อสู้กับอิทธิพลดังกล่าวเป็นเรื่องซับซ้อนใหญ่โต  เป็นต้นว่า  ศิลปินและนักเขียนมีขอบข่าย แห่งเสรีภาพได้แค่ไหน เมื่อผู้ผลิตงานศิลปะจำเป็นต้องยังชีพจากผลงานของเขาด้วย  เขาจะมีทางแก้ปัญหาปากท้องของตัวเองอย่างไร  โดยเฉพาะในสังคมแบบทุนนิยม  นากจากนี้  ปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ  เมื่อศิลปะเป็นงานที่เสนอแก่สาธารณชนในแง่การค้า  ปฏิปักษ์สำคัญยิ่งของศิลปะเพื่อชีวิตน่าจะมิใช่ศิลปะเพื่องานศิลปะ  แต่เป็นศิลปะสุกเอาเผากินซึ่งมุ่งมอมเมา ประชาชนให้หนีจากความเป็นจริงของชีวิตมาสู่โลกของกามารมณ์  หรือเรื่องตื่นเต้นหวือหวาไร้สาระซึ่งขายดี ติดตลาดและแพร่หลายในหมู่ประชาชน
                                                                       (ณรงค์  จันทร์เรือง: ศิลปะเพื่อชาติ)


3.พรรณนาโวหาร
      
      คือ โวหารที่ใช้กล่าวถึงเรื่องราว สถานที่ บุคคล สิ่งของ หรืออารมณ์อย่างละเอียด   สอดแทรกอารมณ์    ความรู้สึกลงไปเพื่อโน้มน้าวใจ   ให้ผู้รับสารเกิดภาพพจน์  เกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย  ใช้ในการพูดโน้มน้าว อารมณ์ของผู้ฟัง  หรือเขียนสดุดี   ชมเมือง ชมความงามของบุคคล  สถานที่และแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เป็นต้น
               การใช้พรรณนาโวหาร ควรมีความประณีตในการเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนที่ไพเราะเพราะพริ้ง  เล่นคำ  เล่นอักษร  ใช้ถ้อยคำทั้งเสียงและความหมายให้ตรงกับความรู้สึกที่ต้องการพรรณนา  รู้จักปรุงแต่งถ้อยคำ ให้ผู้รับสารเกิดภาพพจน์  ใช้โวหารเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน   รู้จักเลือกเฟ้นเนื้อหาว่าส่วน ใดควรนำมาพรรณนา   ต้องเข้าใจเนื้อหาที่จะพรรณนาเป็นอย่างดี   และพรรณนาให้เป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก  โดยไม่เสแสร้ง  บางกรณีอาจต้องใช้อุปมาโวหารหรือสาธกโวหารประกอบด้วย

ตัวอย่างพรรณนาโวหาร


            เขาใช้แขนยันพื้นดิน อาการเหนื่อยอ่อน กลิ่นน้ำฝนบนใบหญ้าและกลิ่นไอดินโซนเข้าจมูกวาบหวิว อยากให้มีใครซักคนผ่านมาพบ เพื่อพาเขากลับไปหาหมอในหมู่บ้าน มดหลายตัวเดินสวนขบวนผ่านไปมา มันไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เขามองดูมันอย่างเลื่อนลอยทำไมมัน จึงเฉยเมยกับฉัน มันคงรู้แน่ ฉันอยากให้มันเป็นคนจริงๆ ฉันจะต้องกลับบ้านให้ได้ เขาคิดพลางเหม่งมองดูยอดสนของหมู่บ้าน หาดเสี้ยวเห็นอยู่ไม่ไกล ดวงอาทิตย์สีแดงเข้มกำลังคล้อยลงเหนือยอดไม้ทางทิศตะวันตก
                                                                                    (นิคม  รายวา: คนบนต้นไม้)


4. สาธกโวหาร

      คือ โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจนโดยการยกตัวอย่างหรือเรื่องราวประกอบการอธิบาย เนื้อหาสาระ เพื่อสนับสนุน ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ให้หนักแน่น  สมเหตุสมผล ทำให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหา สาระในสิ่งที่พูด หรือเขียนอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ดูสมจริง หรือน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ตัวอย่างหรือเรื่องราว ที่ยกขึ้นประกอบอาจเป็นเรื่องสั้น ๆ หรือเรื่องราวยาว ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสม เช่น ประสบการณ์ตรงของผู้ส่งสาร เรื่องราวของบุคคล เหตุการณ์ นิทาน ตำนาน วรรณคดี เป็นต้น สาธกโวหารมักใช้เป็นอุทาหรณ ์ประกอบอยู่ในเทศนาโวหาร หรืออธิบายโวหาร
             การใช้สาธกโวหาร ควรใช้ถ้อยคำภาษาที่เข้าใจง่าย รู้จักเลือกว่าเนื้อหาตอนใดควรใช้ตัวอย่าง หรือเรื่องราวประกอบ และตัวอย่างที่ยกมา ประกอบต้องสอดคล้องกับเนื้อหา และเป็นเรื่องที่น่าสนใจ สมเหตุสมผล  สาธกโวหารมักแทรกอยู่ในโวหารอื่น ๆ  เช่น  บรรยายโวหาร หรือเทศนาโวหาร

ตัวอย่างสาธกโวหาร

       ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับฉันจริงจริง ยินยอมทุกสิ่ง ให้เธอทิ้งไป    ฉันขอแค่เพียงให้เวลาหน่อยได้ไหม อยากเล่านิทานให้ฟัง  ชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตลำพัง ไปเจองูเห่ากำลังใกล้ตายสงสาร
จึงเก็บเอามาเลี้ยงโดยไม่รู้ สุดท้ายจะเป็นอย่างไร  คอยดูแลด้วยความจริงใจ ห่วงใย และคอยให้ความรักเป็นกังวลว่ามันจะตาย เฝ้าคอยเอาใจทุกอย่าง   แต่สุดท้ายชาวนาผู้ชายใจดี ด้วยความ
ที่เขาไว้ใจ น่าเสียดายกลับต้องตาย ด้วยพิษงู  นิทานมันบอกให้ยอมรับความจริง  ว่ามีบางสิ่ง
ไม่ควรไว้ใจ  อะไรบางอย่างที่ทำดีซักแค่ไหน ไม่เชื่อง ไม่รัก ไม่จริง
                                                                                             (สีฟ้า: ชาวนากับงูเห่า)

5.เทศนาโวหาร       คือ โวหารที่มุ่งโน้มน้าวใจให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม   เป็นการกล่าวในเชิงอบรม  แนะนำสั่งสอน  เสนอทัศนะ  ชี้แนะ  หรือโน้มน้าว ชักจูงใจโดยยกเหตุผล  ตัวอย่าง  หลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จจริง  สุภาษิต คติธรรมและสัจธรรม ต่าง ๆ มาแสดงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจที่กระจ่างจนยอมรับเชื่อถือมีความเห็น คล้อยตาม และปฏิบัติตาม  โวหารประเภทนี้มักใช้ ในการให้โอวาท อบรมสั่งสอน อธิบายหลักธรรม และคำชี้แจงเหตุผล ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การเสนอทัศนะ เป็นต้น
             การใช้เทศนาโวหารควรใช้ถ้อยคำภาษาให้เหมาะสมกับผู้รับสาร ใช้ถ้อยคำในการชี้แจงเหตุผลที่กล่าวถึง  ให้แจ่มแจ้งชัดเจน  และชี้แจงไปตามลำดับไม่สับสนวกวน  ควรใช้โวหารอื่นประกอบด้วยเพื่อให้ชวนติดตาม การเขียนเทศนาโวหารต้องใช้โวหารประเภทต่าง ๆ มาประกอบอาจจะใช้บรรยายโวหาร  พรรณนาโวหาร  รวมทั้งอุปมาโวหารและสาธกโวหารด้วย  มักใช้กับงานเขียนประเภทบทความชักจูงใจ  หรือบทความแสดง ความคิดเห็น  ความเรียง  เป็นต้น   แต่ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าเทศนาโวหารเป็นโวหารที่มุ่งสั่งสอน

ตัวอย่างเทศนาโวหาร


        “…เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล  จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้  ปัญหาเฉพาะในด้านการรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ   อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางการ
ออกเสียง  คือ  ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน  อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีการใช้  หมายความว่า  วิธีใช้คำมาประกอบเป็นประโยคนับเป็นปัญหาที่สำคัญ  ปัญหาที่สาม  คือ  ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย  ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ  จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้...”
           “...ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า  ได้มีการใช้ถ้อยคำออกจะฟุ่มเฟือยและไม่ตรงกับความอันแท้จริง
อยู่เนือง ๆ  ทั้งการออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี   ถ้าปล่อยให้เป็นดังนี้ภาษาของเราก็มีแต่
จะทรุดโทรม  ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งประเสริฐอยู่แล้ว  เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเรา  ทุกคนมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้...”
                                                       (พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)



ความหมายของภาพพจน์
       ภาพพจน์ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า figure of speech คือถ้อยคำที่ทำให้เกิดภาพในใจ โดยใช้กลวิธีหรือชั้นเชิงในการเรียบเรียงถ้อยคำให้มีพลังที่จะสัมผัสอารมณ์ของผู้อ่านจนเกิดความประทับใจ เกิดความเข้าใจลึกซึ้งและเกิดอารมณ์สะเทือนใจมากกว่าถ้อยคำที่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ภาพพจนืมีหลายชนิดดังจะกล่าวถึงต่อไปนี้

1. อุปมา ( Simile)
อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า " เหมือน " เช่น ดุจ  ดั่ง  ราว  ราวกับ   เปรียบ   ประดุจ    เฉก   เล่ห์   ปาน   ประหนึ่ง  เพียง    เพี้ยง พ่าง ปูน  ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น
ปัญญาประดุจดังอาวุธ          ไพเราะกังวานปานเสียงนกร้อง           ท่าทางหล่อนราวกับนางพญา   จมูกเหมือนลูกชมพู่               
              
        สูงระหงทรงเพรียวเรียวลูด                งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา                       สองแก้มกัลยาดังลูกยอ                        
คิ้วก่งดังก่งเขาดีดฝ้าย                              จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ    
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ                             ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว                     โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม                      มันน่าเชยน่าชมนางเทวี 

(จากเรื่องระเด่นลันได)              
 
2. อุปลักษณ์  ( Metaphor )
   
 อุปลักษณ์  ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบ สิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้เข้าใจเอาเอง  ที่สำคัญอุปลักษณ์จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา

ตัวอย่างเช่น
- ขอเป็นเกือกทองรองบาทา ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย
- ทหารเป็นรั้วของชาติ
- เธอคือดอกฟ้าแต่ฉันนั้นคือหมาวัด
- เธอเป็นดินหรือเธอเป็นหญ้าแท้จริงมีค่ากว่าใครนิรันดร์
- ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
- ครูคือแม่พิม์ของชาติ
- ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง


3. ปฏิพากย์  ( Paradox )
       ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์  คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น
   เลวบริสุทธิ์   บาปบริสุทธิ์  สวยเป็นบ้า  สวยอย่างร้ายกาจ   สนุกฉิบหาย  สวรรค์บนดิน   ยิ่งรีบยิ่งช้า   น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย


4. อติพจน์    (  Hyperbole )    
       อติพจน์ หรือ อธิพจน์  คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด  เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน   
            
ตัวอย่างเช่น   คิดถึงใจจะขาด   คอแห้งเป็นผง  ร้อนตับจะแตก   หนาวกระดูกจะหลุด  การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า  คิดถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออก  

ในกรณีที่ใช้โวหารต่ำกว่าจริงเรียกว่า  "อวพจน์"
ตัวอย่างเช่น   เล็กเท่าขี้ตาแมว   เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว  รอสักอึดใจเดียว
 

5. บุคลาธิษฐาน   (  Personification )
      บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต   คือการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มีวิญญาณ     เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน  หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น  ต้นไม้  สัตว์  โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงกิริยาอาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์      
( บุคลาธิษฐาน  มาจากคำว่า  บุคคล + อธิษฐาน หมายถึง อธิษฐานให้กลายเป็นบุคคล )
ตัวอย่างเช่น          
มองซิ..มองทะเล                    บางครั้งมันบ้าบิ่น
ทะเลไม่เคยหลับใหล               บางครั้งยังสะอื้น            
เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน                กระแทกหินดังครืนครืน
ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น         ทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป
ฟ้าหัวเราะเยาะข้าชะตาหรือ       ดินนั้นถืออภิสิทธิ์ชีวิตข้าเองไม่เกรงดินฟ้า

 
6. สัญลักษณ์   ( symbol )
       สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน  ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป     

ตัวอย่างเช่น
เมฆหมอก              แทน         อุปสรรค
สีดำ                      แทน         ความตาย  ความชั่วร้าย
สีขาว                    แทน         ความบริสุทธิ์
กุหลาบแดง            แทน         ความรัก
หงส์                      แทน         คนชั้นสูง
กา                        แทน         คนต่ำต้อย
ดอกไม้                  แทน         ผู้หญิง
แสงสว่าง               แทน         สติปัญญา
เพชร                     แทน         ความแข็งแกร่ง     ความเป็นเลิศ
แก้ว                      แทน         ความดีงาม   ของมีค่า
ลา                        แทน         คนโง่   คนน่าสงสาร
สุนัขจิ้งจอก             แทน         คนเจ้าเล่ห์


7. นามนัย   ( Metonymy )
       นามนัย  คือ การใช้คำหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง  คล้ายๆสัญลักษณ์   แต่ต่างกันตรงที่  นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าว  ให้หมายถึงส่วนทั้งหมด 

ตัวอย่างเช่น           
เมืองโอ่ง                 หมายถึง                   จังหวัดราชบุรี
เมืองย่าโม               หมายถึง                   จังหวัดนครราชสีมา
ทีมเสือเหลือง          หมายถึง                   ทีมมาเลเซีย
ทีมสิงโตคำราม        หมายถึง                   อังกฤษ
เก้าอี้                       หมายถึง                   ตำแหน่ง
มือที่สาม                 หมายถึง                   ผู้ก่อความเดือดร้อน


8. สัทพจน์   ( Onomatopoeia )
        สัทพจน์  หมายถึง ภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น  เสียงดนตรี เสียงสัตว์ เสียงคลื่น เสียงลม   เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล ฯลฯ   การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ

ตัวอย่างเช่น           
- ลูกหมาร้องบ๊อก ๆ ๆ    
- ลุกนกร้องจิ๊บๆๆ   
- ลูกแมวร้องเหมียว ๆ ๆ
- เปรี้ยง ๆ  ดังเสียงฟ้าฟาด     
- ตะแลกแต๊กแต๊กตะแลกแต๊กแต๊ก   กระเดื่องดังแทรกสำรวลสรวลสันต์
- คลื่นซัดครืนครืนซ่าที่ผาแดง
- น้ำพุพุ่งซ่า  ไหลมาฉาดฉาน      เห็นตระการ   เสียงกังวาน  
- มันดังจอกโครม จอกโครม         มันดังจอก จอก โครม โครม

9. ปฏิพจน์ ( Oxymoron )

      ปฏิพจน์ คือ การใช้คำที่ไม่สอดคล้องกันหรือขัดแย้งมารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้มีความหมายที่ให้ความรุ้สึกขัดแย้ง หรือเพิ่มน้ำหนักให้แก่ความหมายของคำแรก ภาพพจน์ชนิดนี้มักใช้เป็นชื่อเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้อ่าน

ตัวอย่างเช่น  ไฟเย็น สันติภาพร้อน ชัยชนะของผู้แพ้


10. ปฏิปุจฉา ( rhetorical question )

       ปฏิปุจฉา หรือ คำถามเชิงวาทศิลป์ คือ การตั้งคำถามแต่มิได้หวังคำตอบ หรือ ถ้ามีคำตอบก็เป็นคำตอบที่ทั้งผู้ถามเเละผู้ตอบรู้ดีอยู่เเล้ว นักเขียนจะใช้คำถามเชิงวาทศิลป์เพื่อเร้าอารมณ์ผู้อ่าน หรือสื่อความหมายเเละข้อคิดที่ต้องการ 

ตัวอย่างเช่น

เราจะยอมให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงต่อไปอีกหรือ
ถ้าเหตูการณ์ภายหน้ามีเเต่ร้ายฉันจะทนทรมานอยู่ได้อย่างไร
เห็นเเก้วแวววับที่จับจิต                ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้เต็มที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี            อันมณีหรือจะโลดไปถึงมือ

โวหาร


โวหาร


ภาพพจน์


ภาพพจน์